หนังใหม่ The Sound of Magic – นิทานแฟนตาซีรสขมเข้มสำหรับคนวัยเริ่มคนแก่

หนังใหม่ ความน่าสนใจของ ‘The Sound of Magic’ หรือ ‘โอม รักเอยต้องมา’ ซีรีส์เกาหลีบน Netflix ความยาว 6 ตอนเรื่องนี้ นอกเหนือจากการที่จะเล่นใหญ่แปลกด้วยการเป็นซีรีส์แนวแฟนตาซีมิวสิคัลแล้ว ยังเป็นซีรีส์ที่ดัดแปลงปรับปรุงแก้ไขจากเว็บไซต์ตูนแนวแฟนตาซีสุดดาร์กในตำนาน ‘อันทุ่งนาราซูมาที่นารา’ (Annarasumanara) ผลงานของ ‘ฮาอิลควอน’ (Ha Il-Kwon) ก่อนที่เขาจะมาเลื่องลือกับเว็บตูนแนวขบขันกาวๆชนิด ‘สเปิร์มแมน’ (Sperman) และ ‘เทวดายุทธ์ขูดไคล’ (God of Bath) เพราะอะไรพี่เขาคิดแนวเรื่องได้ฉุดกระชากอารมณ์ขนาดนี้ (555)

ความน่าดึงดูดใจอีกประการก็คือ ผู้กำกับและก็คณะทำงานของซีรีส์ประเด็นนี้ครับผม เพราะเหตุว่าทั้งยังผู้กำกับอย่าง ‘คิมซองยุยงน’ (Kim Sung-Yoon) และก็ผู้เขียนบทอย่าง ‘คิม มินจอง’ (Kim Min-Jung) ทั้งคู่เคยผ่านงานดูแลซีรีส์ ‘Love in the Moonlight’ (2016) มาด้วยกันแล้ว และก็พอเพียงเป็นแถวมิวสิคัล ก็เลยได้ ‘พัคซองอิล’ (Park Seong-il) Music Director จากซีรีส์ ‘Itaewon Class’ (2020) มาดูแลส่วนของดนตรีและก็เพลงประกอบมิวสิคัล ที่ใช้วงซิมโฟนีออเคสตราเครื่องดนตรี 70 ชิ้นแบบเต็มวงมาร่วมสร้างสรรค์อีกด้วย หนังใหม่

ตัวซีรีส์เกิดเรื่องราวของ ‘ยุยงนอาอี’ (Choi Sung-Eun) เด็กสาววัย ม.5 ที่จะต้องใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่เร็วกว่าเด็กปกติ เพราะมีปัญหาอะไรบางอย่างที่ทำให้บิดาแล้วก็แม่ของคุณหนีไป เธอก็เลยจำเป็นต้องดิ้นรนอยู่อย่างลำบากยากไร้ แล้วก็พบเจอกับความเจ็บปวดในใจกับน้องสาว ‘ยุนยูอี’ (Hong Jung-Min) ตามลำพัง เธอมีความฝันว่า เธออยากจะเป็นผู้ใหญ่เร็วๆเพื่อจะได้หลุดพ้นจากการดิ้นรนหนีความทุกข์ยาก หวังจะคลายเงื่อนในใจ และพอเพียงเกิดแรงที่จะต่อสู้กับสังคมที่เอาเปรียบ เธอมีเพื่อนร่วมชั้นที่สนิทที่สุดอย่าง ‘นาอิลดึง’ (Hwang In-Yeop) นักเรียนระดับท็อปบ้านมั่งคั่งเรียนเก่ง ที่มีความต้องการจะเป็นอันดับแรกอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าจำเป็นต้องถูกครอบครัวบีบคั้นไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง

หลังจากทำอาชีพเสริมในไม่นิมาร์ต ยุยงนอาอีได้พบกับ ‘รีอึล’ (Ji Chang-Wook) นักเล่นกลลึกลับที่อาศัยอยู่ในสวนสนุกร้าง ที่มีคำพูดติดปากว่า “คุณเชื่อในคาถาไหม ?” รีถ่ายลไม่ได้เข้ามาในชีวิตของยุนอาอีเพียงแค่เพื่อแสดงมายากลให้มอง แม้กระนั้นเขายังใช้มนต์วิเศษสำหรับในการเชื้อเชิญคุณเข้ามาเรียนวิชามายากล รวมทั้งเปลี่ยนชีวิตของจากเด็กผู้หญิงผู้แตกสลายชีวิตด้านชา ให้มีเป้าหมายรวมทั้งความคาดหวังขึ้นอีกที แม้สังคมรายรอบคุณจะคอยเสนอคำถามเกี่ยวกับการโตเป็นผู้ใหญ่ แล้วก็ตั้งข้อซักถามกับรีขี้ลว่า เขาเป็นผู้มีมนตร์จริงๆหรือเป็นเพียงแต่คนวิกลจริตคนหนึ่งเพียงแค่นั้น survepi

ถ้าจะถามว่า ระหว่างเวอร์ชันซีรีส์กับเว็บตูนมีอะไรที่ไม่เหมือนกันบ้างไหม คำตอบก็คือ มีอยู่บ้างครับ ที่จริงแล้วตัวบทของซีรีส์เองค่อนข้างจะเคารพสาระสำคัญของเรื่องรวมทั้งดูดซับพล็อตต่างๆในขณะที่ก็มีการปรับเปลี่ยนบางอย่างให้มีความเป็นเดี๋ยวนี้แล้วก็มองสมจริงเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการเล่าเรื่องแบบมิวสิคัล การปรับโทนจากกลิ่นอายแบบ Weird Fantasy ที่มีความแปลกประหลาดอยู่ในคราว และก็การเพิ่ม Conflict ความไม่น่าไว้วางใจของรีขี้ลในตอนท้ายๆของซีรีส์

มองเห็นตัวซีรีส์มีความเป็นแฟนตาซีใสๆหวานๆมันๆบวกกับความเป็นมิวสิคัลตระการตาอย่างงี้ อย่าประมาทไปเชียวนะครับ เนื่องจากตัวซีรีส์กลับสอดไส้หลักสำคัญหนักรสขมๆซึ่งเป็นสาระสำคัญของเรื่องจากเว็บไซต์ตูนเอาไว้ได้อย่างน่าดึงดูด ทั้งเรื่องของมุมมองของความเป็นเด็กรวมทั้งความเป็นผู้ใหญ่ การเติมความฝันแล้วก็ความมุ่งมาดให้กับชีวิต และก็ความเลื่อมใสในสิ่งที่บางโอกาสก็ดูละเมอเพ้อพกในสายตาคนอื่น

หนังใหม่ แม้หัวข้อหนักๆพวกนี้จะไม่ได้เกิดเรื่องใหม่ในทางของธีมเรื่องที่ถูกเล่ากันมาจำนวนมากแล้ว แต่ว่าความน่าดึงดูดใจของซีรีส์ประเด็นนี้ก็คือ การเล่าผ่านลักษณะของมิวสิคัลที่มีความแฟนตาซีนี่แหละครับผม ที่ดึงเอาความกึ่งจริงครึ่งหนึ่งแฟนตาซี ครึ่งหนึ่งดีครึ่งร้าย สะท้อนผ่านขั้นตอนการเล่าแบบกึ่งเนื้อเรื่องกึ่งร้องเพลงไปตลอดทั้งเรื่อง หากแม้ตัวเรื่องเองจะหยิบเอาหัวข้อหลักๆจากเว็บตูนมาได้ครบและก็เล่าได้อย่างกระชับดี แต่ว่าด้วยความครึ่งๆรวมทั้งความมิวสิคัลนี่แหละที่อาจทำให้คนที่ไม่ชอบแนวๆนี้เบือนหน้าหนีเอาได้ไม่ยาก

แม้กระนั้นถ้าเปิดใจลองดู จะพบว่า ไอ้ความกึ่งๆนี่แหละนะครับที่คนเขียนเห็นว่ามันถูกจริตดีเหลือเกิน กับการเล่าเรื่องเกี่ยวกับช่วงชีวิตในวัยครึ่งหนึ่งเด็กครึ่งหนึ่งคนแก่ ที่ราวกับจะโตแต่ก็ไม่เต็มกำลัง แต่ว่าจำต้องสู้กับความจริงอันเจ็บปวดรวดร้าวที่ผลักดันให้เดินหน้าไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ที่ตายด้าน ทอดทิ้งความฝันและความมุ่งมาดไว้เบื้องหลังราวกับสวนสนุกร้าง เพียงแต่เนื่องจากไม่ทราบว่าจะเอาไปใช้สำหรับการเอาชีวิตรอดได้เช่นไร จะมีก็ก็แค่รีขี้ลนี่แหละ ที่ยังคงรักษาความเป็นเด็กเอาไว้ได้ รวมทั้งยังคงสุขสบายในสวนสนุก แม้ว่าจะถูกมองว่าเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมโตเสมือนประชาชนเขาพลาดท่า

บางคราวปัญหาที่ว่า “คุณเชื่อในมนตร์ไหม ? ”

บางทีอาจมิได้มีแค่คำตอบเพียงแต่ว่าเเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ว่าบางทีอาจเป็นปริศนาที่ชักชวนให้ผู้ตอบตั้งข้อซักถามกับชีวิตของตนให้ลึกลงไปว่า คุณยังเชื่อในความฝัน ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ไหม ? ครั้งคราว ความเป็นผู้ใหญ่ด้านชาแล้วก็ทึมเทาของพวกเราเองนี่แหละ ที่รอรุมสกรัมเราให้เจ็บแล้วก็อาย ราวกับคาถาที่ท่่องให้ตายก็ไม่ได้เรื่อง แต่ว่าถ้าหากมองดูดีๆบ่อยความเจ็บปวดเหล่านั้นก็สอนให้เรายังคงรักษาความเป็นเด็ก ความฝัน รวมทั้งความหวัง ที่สามารถทำให้เราเปี่ยมสุขได้อย่างน่าอัศจรรย์เสียยิ่งว่ามนตร์อะไรก็ตาม หนังใหม่

นี่ยังไม่นับความเจ็บจากการที่เด็กถูกบังคับให้ต้องกลายเป็นคนแก่เร็วเหลือเกินอีกต่างหาก (แล้วก็ถ้าเกิดทำไม่ได้ ผู้ใหญ่เหล่านั้นก็จะใช้ความเป็นผู้ใหญ่ ย้อนกลับมารังแกในรูปแบบแล้วก็คำกล่าวอ้างต่างๆนานาอีก) และก็โน่นก็นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอีกหลายปัญหา ทั้งยังปัญหาที่เกิดขึ้นกับครอบครัว อิทธิพล ความแตกต่าง หรือแม้แต่อาชญากรรม ซึ่งตัวซีรีส์ได้สะท้อนภาพเหล่านั้น แล้วเอามาขมวดรวมไว้ในซีรีส์ได้อย่างน่าสนใจแล้วก็เห็นภาพได้ชัดเจนเลยว่า การที่เด็กตายด้านแล้วก็โตไปเป็นผู้ใหญ่ไม่ดีๆนั้นมันทั้งห่วยแล้วก็อันตรายได้อย่างไรบ้าง

อีกจุดที่มีตัวซีรีส์สามารถสะท้อนเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆและถือเป็นจุดที่เด่นรวมทั้งแตกต่างจากเวอร์ชันเว็บตูนอปิ้งแจ่มแจ้งก็คือ มุมมองความเทาๆครึ่งดีกึ่งร้ายของผู้แสดงแต่ละตัวครับ ถึงแม้ในเว็บตูนจะมีเล่านี้อยู่ด้วย แต่ก็ถูกเล่าเอาไว้เพียงแค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง โดยยิ่งไปกว่านั้นมุมเทาๆของตัวละครหลัก ที่ต่างก็เคยทำผิดทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอก แล้วก็ผู้แสดงบางตัวก็มีความไม่น่าไว้วางใจซ่อนอยู่ ความเทาๆนี่แหละที่ทำให้ใจความสำคัญเกี่ยวกับชีวิตรวมทั้งการเจริญเติบโตถูกขับย้ำออกมาได้ดิบได้ดีมากมายๆไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเล่าดราม่าเคล้าน้ำตาเนื่องจากว่าความน่าสงสารเพียงอย่างเดียว

ในด้านของการแสดง จริงๆโดยรวมนับว่าทำเป็นออกจะดีเลยจ้านะครับ รวมทั้งแน่ๆว่า 3 นักแสดงหลักของเรื่อง ที่นอกจากจะจะต้องแสดงแล้ว ยังต้องออกแรงร้องแล้วก็เต้นอีกต่างหาก ซึ่งจัดว่าทำเป็นดีทีเดียว ทั้ง ‘จีชางอุก’ (Ji Chang-Wook) ที่สวมบทบาท ‘รีขี้ล’ ได้น่าดึงดูดและมีเสน่ห์มากมายๆรวมทั้งการแสดงกลที่ผ่านการต่อว่าวจากมืออาชีพก็จัดว่าทำเป็นดีเลย

หนังใหม่ ส่วน ‘ชเวซองอึน’ (Choi Sung-Eun) คนรับบท ‘ยุยงนอาอี’ ก็เปี่ยมเสน่ห์มากมายๆสามารถสวมบทบาทดราม่าหนักๆได้น่าเห็นใจสุดๆส่วนการร้องการเต้นก็ตรึงตาให้หยุดดูได้แบบไม่ละสายตา ส่วนฮวังอินยอบ (Hwang In-Yeop) คนรับบท ‘ที่นาอิลดึง’ ก็รับบทเด็กตัวท็อปได้อย่างน่าหมั่นไส้ และก็น่าสงสารได้อย่างน่าทึ่ง และมีความต่างจากเวอร์ชันเว็บไซต์ตูนอปิ้งแจ้งชัดมากมายๆ

นักแสดงวิชวลกราฟิกเปิดเผยความไร้มนุษยธรรมหลังร่วมงานกับ Marvel ‘งานหนัก-แก้ยับ-กดราคา-ทำไม่ทันติดแบล็กลิสต์!’

ข่าวสารการเปิดตัวไตเติลภาพยนตร์รวมทั้งซีรีส์ใหม่ใน Marvel Cinematic Universe (MCU) บนเวทีงาน ซานดิเอโก คอมิก-คอน (San Diego Comic-Con) ที่พึ่งจะพ้นไปไม่นานมานี้ ทั้งการเปิดตัวอย่างใหม่ของไตเติลในเฟส 4 ที่กำลังจะมาในอีกไม่นาน และก็การเปิดตัวไตเติลในเฟส 4 และ 5 และก็การปูทางไปสู่เฟส 6 ซึ่งทั้งปวงนี้ถูกเรียกอย่างเป็นทางการว่าเป็นมหากาพย์แห่งพหุจักรวาล หรือ ‘The Multiverse Saga’ ย่อมสร้างความระทึกใจฮือฮาให้กับแฟนซูเปอร์ฮีโรฝั่ง Marvel ที่เตรียมตั้งหน้าตั้งตารอคอยประเภทที่เรียกว่า ‘ห้ามตาย’ ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

แต่ในอีกมุมหนึ่ง การเปิดตัวภาพยนตร์และซีรีส์ออกมาทีเดียวพร้อมๆกันครั้งละหลายสิบไตเติล ก็หมายความว่าการที่คณะทำงานในฝ่ายต่างๆก็จำต้องลงแรงทำงานมากยิ่งขึ้นเพื่อแต่ละงานสามารถออกได้ทันตามกำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่สำคัญในสื่อของ Marvel Studio ที่เกือบจะห้ามให้ขาดเลยเด็ดขาดในเกือบจะทุกไตเติลก็เป็น งานด้าน VFX หรืองานด้านสเปเชียลเอฟเฟกต์ต่างๆที่รอสร้างเรื่องราวสุดจินตนาการ และพลังของนักแสดงต่างๆให้เกิดขึ้นได้จริงอย่างที่เรามองเห็นกันในจอ แล้วก็โน่นก็อาจจะต้องแลกมาด้วย ‘ฝันร้าย’ ของคนทำงานด้วยเช่นกัน

เมื่อเร็วๆนี้ นักแสดงวิชวลเอฟเฟกต์จากหลายบริษัทที่เคยรับทำงานวิชวลเอฟเฟกต์ให้กับ ภาพยนตร์รวมทั้งซีรีส์ของ Marvel Studios ต่างก็ออกมาแฉประสบการณ์ความเหี้ยมโหดอำมหิตที่ Marvel ได้กระทำต่อพวกเขา แม้ว่าการรับงานให้กับสตูดิโอเจ้าใหญ่ระดับโลกจะถือเป็นเครดิตชั้นเยี่ยมให้กับบริษัทแล้วก็ตัวนักแสดงเอง แม้กระนั้นในความเป็นจริงแล้วพวกเขาเห็นว่ามันเป็น ‘ฝันร้าย’ ต่างหาก

26 กรกฎาคม ก่อนหน้านี้ นักแสดงวิชวลเอฟเฟกต์รายหนึ่ง (ไม่มุ่งมาดปรารถนาออกนาม) ที่อ้างตัวว่าเป็นคนที่เคยทำงานด้านวิชวลเอฟเฟกต์ให้กับ Marvel Studios หลายเรื่อง ได้เปิดเผยผ่านบทความบนเว็บ Vulture เกี่ยวกับการทำงานให้กับ Marvel โดยศิลปินรายนี้เกริ่นในบทความว่า เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า ในแวดวงวิชวลเอฟเฟกต์ การทำงานกับ Marvel เป็นอะไรที่สุดแสนจะเหนื่อยยากซะจนกลายมาเป็นเฮฮาร้ายเอาไว้เล่าสู่กันฟังในวงการแบบขันขม หนังใหม่

“ในหนังเรื่องหนึ่ง ตัวฉันเองเคยจำต้องดำเนินงานติดกันนานถึง 6 เดือน รวมทั้งฉันจำเป็นต้องทำ OT ตลอด 7 วันทั้งสัปดาห๋ อาทิตย์ไหนที่ดีๆหน่อยก็ได้ปฏิบัติงานราว 64 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ Marvel บังคับให้คุณจะต้องทำงานมากตลอด เพื่อนผู้ร่วมการทำงานที่นั่งด้านข้างฉันสภาพนี่ชำรุดทรุดโทรมมาก และก็ร้องไห้ด้วย บางคนนี่ถึงกับกลัวการรับโทรศัพท์ไปเลย”

ศิลปินคนนี้ยังกล่าวเพิ่มเพราะ ด้วยเหตุว่าด้วยความที่ Marvel นั้นมีไตเติลที่จะกลายเป็นหนังและซีรีส์ระดับบล็อกบัสเตอร์อยู่ในมือล้นหลาม Marvel ในฐานะสตูดิโอ จึงมีอำนาจต่อรองเหนือบริษัทวิชวลเอฟเฟกต์ ทำให้เหล่าบริษัทวิชวลเอฟเฟกต์ที่อยากจะได้งานระดับบิ๊กดีล (ไม่ว่าจะเนื่องจากอยากได้พอร์ตงานหรืออยากได้เงิน หรือทั้งสองอย่าง) ก็เลยต้องแข่งกันเสนอราคา